วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556




เชียงคานเมืองหนาว








 จั่วหัวได้เลยว่าวันนี้  “เชียงคาน” ในเหมันต์ฤดูกำลังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว  มีทั้งที่ต้องการไปสัมผัสบรรยากาศแบบหนาวๆ  และหมอกยามเช้าที่โรยตัวลงเลียบเรี่ยผืนน้ำกลางแม่น้ำโขง   เดินหรือขี่จักรยานเลาะเรียบริมโขงดูตะวันขึ้นสาดแสงทอง   ทาบผืนน้ำ จากนั้นก็เตรียมของใส่บาตรพระในตลาดเก่าโบราณ  ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของชาวบ้าน  แต่กำลังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว   ตกค่ำเป็นตลาดคนเดิน  จะได้เห็นความคึกคักและคับคั่งของผู้คนที่หลั่งไหลมาเดินกันอย่างขวักไขว่  ห้องแถวไม้เก่าถูกประดับไฟแสงสีเปิดเป็นร้านค้ามีสินค้าหลากหลายทั้งเสื้อผ้า  ของประดับตกแต่ง และของที่ระลึกเมืองเชียงคาน  รวมทั้งร้าน อาหารการกินเรียงราย   มีดนตรีริมถนนบรรเลงสร้างความคึกคัก ผู้คนจะแน่นขนัดมากในฤดูกาลท่องเที่ยวที่เป็นคืนวันเสาร์                    
                         เชียงคาน เดิมชื่อว่าเมืองปากเหือง (ปากแม่น้ำเหือง ที่มาบรรจบกับแม่น้ำโขง เขตแดนไทย-ลาว)  ข้อมูลจากวิกิพีเดียมีประวัติมายาวนาน ตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี จนถึงสมัยรัตนโกสิน รัชกาลที่ 5  ปี 2453 ได้ทรงแต่งตั้ง  ให้พระยาศรีอรรคฮาด(ทองดี ศรีประเสริฐ) เป็นนายอำเภอ เชียงคานคนแรก    ปี 2484 จึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเชียงคานมาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันนี้         ตลาดอำเภอเชียงคาน มีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ยุคถนนหนทางยังไปไม่ถึง   แต่การค้าขายเจริญขึ้นได้โดยอาศัยการขนส่งสินค้าทางเรือ  ขึ้นล่องไป-มากับอำเภอศรีเชียงใหม่ ตรงข้ามกรุงเวียงจันทร์ กับจังหวัดหนองคาย     
                         พอเข้าสู่ยุคมีการตัดถนน มีรถยนต์วิ่งทำให้การเดินทางระหว่างจังหวัดเลยกับอำเภอเชียงคานสะดวกขึ้น    แต่กลับทำให้ตัวตลาดอำเภอเชียงคานลดความเจริญและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจลงไป  เพราะการค้าขายมุ่งตรงไปยังตัวจังหวัดและอำเภออื่น ๆ  ส่งผลให้ตลาดอำเภอเชียงคานจึงซบเซาลง   การค้าขายในตลาดมีความเงียบเหงาเข้ามาแทนที่
                         เมื่อ 20 ปีก่อนผู้เขียนเคยมาเที่ยวและพักที่โรงแรมในตลาดอำเภอเชียงคาน   มีความรู้สึกว่าตลาดเชียงคานเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เงียบสงบดีมาก  จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้รักความสงบมานอนพักผ่อนทอดอารมณ์เหม่อมอง จากระเบียงโรงแรมริมแม่น้ำโขงไปยังฝั่งลาว       สภาพเชียงคานในอดีตจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความจอแจวุ่นวายจากสังคมในเมืองมาพักผ่อนที่นี่   เมื่อ 5 ปีก่อนเคยเขียนไว้ใน http://www.oknation.net/blog/loongdali/2007/08/01/entry-1  ตอนนั้นยังเขียนบล๊อกมือใหม่มาก  ไปดูตอนนี้ปรากฏว่าภาพประกอบหายไปหมดแล้ว
                          ปัจจุบันนี้เชียงคานเกิดฮิตติดปาก เพราะความเก่าแก่ที่สืบเนื่องมาเป็นเวลาช้านาน   กำลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดเลย  และของประเทศไทย  จากอำเภอที่สงบเงียบกลายเป็นอำเภอที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวกันอย่างแหนาแน่น   ตลาดเก่าที่เคยเงียบเหงากลับคึกคักทั้งเช้าสายบ่ายค่ำ   กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ต้องการมาสัมผัสอากาศหนาวเย็น และหมอกยามเช้าริมแม่น้ำโขง
                          สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งแม่น้ำโขงที่เคยไหลผ่าน อ.เชียงแสน เชียงของ และ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ไหลเข้าไปในแผ่นดินประเทศลาว ผ่านเมืองหลวงพระบาง  แล้วไหลกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งที่ปากแม่น้ำเหือง  บ้านท่าดีมี ต.ปากตม  อ.เชียงคาน จังหวัดเลย   กล่าวคือแม่น้ำโขงไหลเข้าลาวแล้วโผล่มาอีกครั้งที่อำเภอเชียงคาน เป็นเขตแดนไทย-ลาว  ยาวตลอดไปจนถึงอำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี 
                           ขณะนี้เชียงคานกำลังได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วทิศที่หลั่งไหลมาประชันความคึกคักกันที่นี่   วันนี้เชียงคานจึงเต็มไปด้วยโรงแรมที่พัก และรีสอร์ทต่างๆ  รวมทั้งร้านอาหารการกินมีตั้งแต่เช้ายันค่ำ ผุดขึ้นรองรับนักท่องเที่ยว
                           เมื่อต้นเดือน พ.ย.55  ไปเที่ยวเชียงคานอีกครั้ง เห็นการพัฒนาและความคึกคักเข้ามาแทนที่ความเงียบเหงาในอดีต  ช่วงที่ไปอากาศยังไม่หนาว กลางคืนจึงเหมาะที่จะไปถนนคนเดิน ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากแดนไกลทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ   เชื่อว่าทุกคนต่างก็ประทับใจที่ได้มาเห็นตลาดห้องแถวไม้เก่าแบบคลาสสิกโบราณ  ได้เห็นบรรยากาศที่คึกคักกับการหลั่งไหลมาของนักท่องเที่ยวไม่ขาดสาย  ไปครั้งนี้หวังจะข้ามไปเมืองชนะคาม ฝั่งลาว ก็ต้องผิดหวังเพราะเจ้าหน้าที่บอกคอมพิวเตอร์เสีย  แต่ก็ได้ล่องเรือไปขึ้นที่แก่งคุดคู้กินกุ้งเต้นและกุ้งแผ่นทอดกรอบ  อร่อยมากครับ
                           ใครที่ยังไม่เคยได้สัมผัส ลองไปเที่ยวดูครับ!

                                            บรรยากาศยามเช้าริมโขงที่เชียงคาน


                                           ภาพชีวิตริมแม่น้ำโขงที่เชียงคาน

                                            ยามเช้าก่อนตะวันขึ้นที่เชียงคาน





                                     นักท่องเที่ยวนิยมเดินเล่นริมแม่น้ำโขงยามเช้าที่เชียงคาน

                                 วัดศรีคุนเมือง เป็นวัดที่อยู่กลางตลาดเก่าริมโขงที่เชียงคาน

                พระอุโบสถวัดมัชฌิมาราม และวัดท่าแขก(ล่าง) และนักท่องเที่ยวใส่บาตรพระในตลาดเชียงคาน
       
                 นักท่องเที่ยวรอเจ้าหน้า่ี่อำเภอเพื่อขอบัตรผ่านแดน ต่างผิดหวังเพราะคอมฯ เสีย นี่แหละระบบราชการไทย

            ผิดหวังจากข้ามไปฝั่งลาว  ต้องเปลี่ยนเป็นล่องเรือไปขึ้นที่แก่งคุดคู้  ได้เห็นตลาดเชียงคานมุมมองจากแม่น้ำโขง

                                              นักท่องเที่ยวต่างก็ประทับใจ   เมื่อได้ล่องเรือชมสองฝั่งแม่น้ำโขง

                   ต้นไม้โชว์รากที่ฝั่งลาว  และเด็กชาวลาวสนุกสนานกับการกระโดดน้ำเล่นในแม่น้ำโขง

                                       นักท่องเที่ยวสุขสมใจเมื่อได้นั่งเรือล่องโขงที่เชียงคาน

                                  ศาลาชมวิวที่แก่งคุดคู้   มุมมองจากกลางแม่น้ำโขง

                                   หินที่โผล่กลางน้ำคือแก่งคุดคู้   และเนินทรายฝั่งไทย

                               เสื้อยืดพิมพ์ลาย หลากหลายสัญญลักษณ์เมืองเชียงคาน

                    เด็ก ๆ น่ารัก เล่นดนตรีเปิดหมวกริมทาง  ต้อนรับนักท่องเที่ยวในเช้าวันหยุด

                                   หุ่นน่ารักกับเสื้อสัญญลักษณ์เมืองเชียงคาน

                                            บรรยากาศร้านขายของที่ระลึก
                                              เสื้อยืดคลายร้อนเมืองเชียงคาน    

                        ตลาดคนเดินยามค่ำ คึกคักและคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว    

                                      อาหารการกินรองรับนักท่องเที่ยวยามค่ำคืน

                                        ตลาดคนเดินในคืนวันศุกร์ นักท่องเที่ยวยังไม่มากเหมือนคืนวันเสาร์

                                     อาหารการกินรองรับนักท่องเที่ยวยามเช้า

                                          แสงสียามราตรีเมืองเชียงคาน   
                                   บ้านไทยดำที่บ้านนาป่าหนาด เชียงคาน  แหล่งสินค้าพื้นเมืองของชาวไทยดำ

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

สวนทานตะวัน

 
 
 
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี ฤดูกาลท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี  ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็น อย่างมากจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด และในทุกปีจังหวัดสระบุรี จะจัด เทศกาลทุ่งทาน ตะวันบาน ในทุกปี สลับหมุนเวียนไปในแต่ละอำเภอ / พื้นที่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชื่นชม และถ่ายภาพ เป็นที่ระลึก ตลอดจนการ ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการปลูกดอกทานตะวัน การนำเอาผลผลิตจาก เมล็ดทานตะวันไป ใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภครวมทั้งการเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ เช่น เมล็ดทานตะวันคั่วสด ๆ จากไร่ หรือหาซื้อน้ำผึ้งทานตะวันเป็นของฝากจังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ปลูกทานตะวันนับหลายหมื่นไร่ บริเวณเขตติดต่อ ระหว่างจังหวัดลพบุรี และสระบุรี ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง มีการทำไร่ทานตะวันกันมาก รวมทั้งในอีก หลายอำเภอของสระบุรี เช่น อำเภอพระพุทธบาทแก่งคอย หนองโดน หนองแคและมวกเหล็ก แต่ที่อำเภอ วังม่วงจะมีพื้นที่ปลูกมากที่สุด
ทุ่งทานตะวัน  สระบุรี
นักท่องเที่ยวสามารถ วางแผนการเดินทางมาท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี ได้ตลอดเวลาเลือกชมได้ ในหลายๆ พื้นที่ โดยแต่ละแห่ง แต่ละ พื้นที่จะมีความสวยงามและกิจกรรมการจัดงานแตกต่างออกไป นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการขับรถชมทุ่งทานตะวันท่ามกลางบรรยากาศเนินเขา ทุ่งหญ้า ฟาร์มม้า โคนม และ ไร่องุ่น สามารถเลือกชมและท่องเที่ยวทุ่งทานตะวันได้ในพื้นท ี่อำเภอวังม่วง และมวกเหล็ก บรรยากาศการ ท่องเที่ยว ของสองอำเภอนี้เหมาะสำหรับท่องเที่ยวแบบครอบครัว ขับรถชมทิวทัศน์ ชมธรรมชาติ ท่ามกลาง สาย ลมหนาว ที่พัดผ่านที่ราบเชิงเขา ชมทุ่งทานตะวันถ่ายภาพเป็นที่ระลึก พักผ่อนรีสอร์ตกับครอบครัวอย่างมีความสุข ทานตะวันจะบานสะพรั่งสวยงามในสองอำเภอนี้มากที่สุด ในช่วง ระหว่าง เดือนธันวาคมและมกราคม ในช่วง เวลาอื่นๆ จะมีบานสะพรั่งเป็นพื้นที่ๆ
ทุ่งทานตะวัน  สระบุรีทุ่งทานตะวัน  สระบุรี
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี ฤดูกาลท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี  ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็น อย่างมากจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด และในทุกปีจังหวัดสระบุรีจะ จัด เทศกาลทุ่งทานตะวันบาน ในทุกปี สลับหมุนเวียนไปในแต่ละอำเภอ / พื้นที่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไป ชื่นชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ตลอดจนการ ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการปลูกดอกทานตะวัน การนำเอาผลผลิตจาก เมล็ดทานตะวันไปใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภครวมทั้งการเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ เช่น เมล็ดทานตะวัน คั่วสด ๆ จากไร่ หรือหาซื้อน้ำผึ้งทานตะวันเป็นของฝากจังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ปลูกทานตะวันนับหลายหมื่นไร่ บริเวณ เขตติดต่อระหว่างจังหวัดลพบุรี และสระบุรี ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง มีการทำไร่ทานตะวันกันมาก รวมทั้งในอีกหลายอำเภอของสระบุรี เช่น อำเภอพระพุทธบาทแก่งคอย หนองโดน หนองแคและมวกเหล็ก แต่ที่อำเภอวังม่วงจะมีพื้นที่ปลูกมากที่สุด
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการชมทุ่งทานตะวันในหุบเขาแบบแรลลี่ครอบครัว จะพบกับความงดงามของ ทุ่งทานตะวันเต็มหุบเขา ที่ตำบลหินซ้อน และตำบล ท่าคล้อ ของอำเภอแก่งคอย ทานตะวันจะบานสะพรั่งใน ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมมากที่สุด เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบแรลลี่ชมทุ่งทานตะวัน ในพื้นที่อำเภอ แก่งคอยนี้ทุ่งทานตะวันจะบานสะพรั่งมากที่สุดกว่า 20,000 ไร่ ในหลายตำบล นักท่องเที่ยวที่ต้องการ นั่งรถไฟ ผ่านทุ่งทานตะวันต้องนั่งรถไฟ สายกรุงเทพฯ-หนองคาย เมื่อเดินทางเข้าพื้นที่ตำบบลท่าคล้อ หินซ้อน ของอำเภอแก่งคอยตลอดแนวสองข้างทางรถไฟ จะพบกับทุงทานตะวัน เหลืองอร่ามท่ามกลางสายลมหนาวพัด เย็นสบาย หากจะนั่งรถไฟผ่าน ทุ่งทานตะวัน ขอแนะนำให้นั่งรถช่วงระหว่างกลางเดือนธันวาคม ถึงปลายเดือน จะไม่ผิดหวัง
พื้นที่จังหวัดสระบุรีที่มีการปลูกทุ่งทานตะวัน
- ต.เขาดินพัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ
- ต.นายาว อ.พระพุทธบาท
- ต.หินซ้อน อ.แก่งคอย
- ต.แสลงพัน อ.วังม่วง
- ต.บ้านกล้วย อ.หนองโดน
- ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก
สามารถดูตารางการเที่ยวชมทุ่งทานตะวันตามสถานที่ต่าง ๆในแต่ละปี ได้ที่เว็บไซต์จังหวัดสระบุรี
นอกจากการเที่ยวชมทุ่งทานตะวันแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาท พระพุทธฉาย การเที่ยวชมถ้ำหรือน้ำตก การเยี่ยมชมไร่องุ่น และการจิบไวน์ ลิ้มลองสเต็กเนื้อนุ่ม เป็นต้น;ตาเส้นทาง ดังนี้ เส้นทางที่ 1 กรุงเทพฯ - สระบุรี - ไหว้พระพุทธรูปทองคำ ณ วัดพะเยาว์ - ทุ่งทานตะวัน ( อ.เฉลิมพระเกียรติ ,
อ. พระพุทธบาท ) - นมัสการรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทฯ - ฟาร์มผึ้ง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี – แวะเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
เส้นทางที่ 2 กรุงเทพฯ - สระบุรี - ทุ่งทานตะวัน ( อ.แก่งคอย, อ.มวกเหล็ก, อ.วังม่วง ) - ไร่องุ่น - อุโมงค์ต้นไม้ - เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ - ฟาร์มผึ้ง
ทุ่งทานตะวัน  สระบุรีทุ่งทานตะวัน  สระบุรี
อีกเส้นทางหนึ่งที่นิยมคือ เส้นทางรถไฟ โดยจะมีรถไฟออกเดินทางจาก สถานีรถไฟหัวลำโพงทุกวัน ซึ่งสามารถ
สอบถามข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยการโทร 1690 โดยขบวนรถไฟจะวิ่งผ่านอ่างเก็บน้ำของ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์บางขบวนจะจอดที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพื่อให้ผู้โดยสารได้แวะถ่ายภาพอีกด้วย สามารถเข้าไป ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.railway.co.th
ทุ่งทานตะวัน  สระบุรีทุ่งทานตะวัน  สระบุรี
การเตรียมตัวเที่ยวทุ่งทานตะวันให้สนุก
1. เตรียมกล้องถ่ายรูปไปถ่ายรูปสวย ๆ กับดอกทานตะวัน
2. เที่ยวทุ่งทานตะวันควรไปตอนเช้าจะเป็นช่วงที่สวยที่สุด เพราะทานตะวันจะชูช่อรับ พระอาทิตย์ขึ้น หงายหน้า ช่วงเที่ยง และคอตกไปกับดวงอาทิตย์ทุกวัน 3. ทุ่งทานตะวันแต่ละทุ่งมีอายุบานประมาณ 15 วัน เพราะฉะนั้น ควรสอบถามข้อมูลทุ่งทานตะวันบานที่ อบต.แสลงพันอ.วังม่วง จ.สระบุรี โทร.036 364 443

1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
ทุ่งทานตะวัน ( อ.แก่งคอย, อ.มวกเหล็ก, อ.วังม่วง)
จากกรุงเทพ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดสระบุรี เข้า อ.มวกเหล็กหรือถ้าใคร ชอบทิวทัศน์ ที่ เป็นภูเขาสลับซับซ้อนก็ใช้เส้นทางเลี้ยวซ้ายเข้าแก่งคอยแล้วค่อยออกไปตามทางไป เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็ได้ จาก เส้นทาง อ.มวกเหล็ก ให้ขับรถไปเรื่อย ๆ ตามป้ายบอกทางไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เส้นทางนี้จะผ่านเส้นทางที่ เป็นอุโมงก์์ต้นไม้ และเนินมหัศจรรย์ ผ่านอุโมงก์ต้นไม้และเนินมหัศจรรย์ก็จะพบกับทุ่งทานตะวัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขับรถกินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ จะเจอป้ายบอกทางไปทุ่งทานตะวัน อ.วังม่วง และหลังจากเที่ยวทุ่งดอกไม้งามแล้ว ย้อนกลับ ็ทางเดิม สามารถไปเที่ยวชมเขื่อนป่าสัก ฯ ได้อีก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทุ่งทานตะวันมากนัก หลังจากเที่ยว ทุ่งทานตะวันแล้วก็กลับมาทางมวกเหล็กแวะเที่ยวชมไร่องุ่นได้อีกด้วย
ทุ่งทานตะวันเส้นสระบุรี ถึง ลพบุรี
จาก กรุงเทพ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดสระบุรี จนถึงแยกพุแค เลี้ยวซ้ายตามทางหลวง หมายเลข 21 (ทางไปเพชรบูรณ์) ไปจนถึงสี่แยกพัฒนานิคม ซึ่งจะตัดกับทางหลวงหมายเลข 3017 ลพบุรี - วังม่วง เส้นทางสายนี้ตลอดสองข้างทางจะเหลืออร่ามไปด้วยทุ่งทานตะวัน และยังรวมถึงบริเวณวัดเขาจีนแล อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก และเส้นทางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ

เทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2555

เทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2556

งานราชพฤกษ์ 2556

เทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2555 (อุทยานหลวงราชพฤกษ์)

          ขอเชิญเที่ยวงาน "เทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2555" (Flora Fest’ @ Royal Park Rajapruek 2012) ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555 – 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

          อุทยานหลวงราชพฤกษ์ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงาน "เทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2555" (Flora Fest’ @ Royal Park Rajapruek 2012) ในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ตั้งแต่เวลา 08.00 - 21.00 น. จำนวน 90 วัน ภายใต้ธีมงาน "อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ใต้ร่มฟ้าพระบารมี" ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดงานเพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
          การจัดงานครั้งนี้จะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและการให้ความรู้ ประกอบด้วย นิทรรศการแสดงพระราชประวัติพระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจในทั้ง 3 พระองค์, การจัดฉายภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ, การจัดกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ, การจัดแสดงทิวลิปภูมิพล ซึ่งสั่งหัวพันธุ์โดยตรงจากเนเธอร์แลนด์ และนิทรรศการ 80 พรรณไม้งามโครงการหลวง และนิทรรศการสายใยรัก

อุทยานหลวงราชพฤกษ์

          นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมทางวิชาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเกษตรและพฤกษศาสตร์ พืชสวนไทยและพืชท้องถิ่น ให้ความรู้เกี่ยวกับการลดภาวะโลกร้อนและเศรษฐกิจสีเขียว, นิทรรศการ "กุหลาบ : ราชินีแห่งดอกไม้", นิทรรศการ "โลกแมลง : กิ่งไม้เดินได้" (Stick Walking), นิทรรศการกล้วยไม้, นิทรรศการเรื่องกล้วย...กล้วย, นิทรรศการ "สมุนไพร คลายหนาว" โดยมีการจัดแสดงพืชแปลกพืชหายากในเรือนร่มไม้ เรือนพืชทะเลทราย เรือนกล้วยไม้ สวนบอนไซ และสวนไม้หอม รวมทั้งมีการจัดแสดงสวนนานาชาติและสวนองค์กร มีการจัดฝึกอบรมเรื่องการจัดสวนถาด, เทคนิคการเลี้ยงแมลง : ตั๊กแตนและผีเสื้อ และการให้ความรู้ในฐานเรียนรู้แก่เยาวชนทั่วไป รวมทั้งการถ่ายภาพเบื้องต้น

          ในช่วงงานอุทยานหลวงราชพฤกษ์ได้จัดและตกแต่งสวนให้สวยงาม ด้วยดอกไม้เมืองหนาวและพรรณไม้นานาชนิดจากมูลนิธิโครงการหลวง ที่เน้นความสวยงามแปลกตา เช่น ดอกทิวลิป, ลิลลี่, คาร์เนชั่น, บีโกเนีย, พิทูเนีย, บลูฮาวาย, ดาเลีย, เจอราเนียม และไฮเดรนเยีย ฯลฯ โดยคัดเลือกพันธุ์พิเศษและเพาะบนพื้นที่บนดอยสูงของโครงการหลวงที่มีอากาศหนาวเย็น เพื่อให้ได้ดอกที่สวยสมบูรณ์ งดงามน่าประทับใจเทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2555 (อุทยานหลวงราชพฤกษ์)

ขอเชิญเที่ยวงาน "เทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2555" (Flora Fest’ @ Royal Park Rajapruek 2012) ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555 – 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



อุทยานหลวงราชพฤกษ์ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงาน "เทศกาลดอกไม้บาน ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2555" (Flora Fest’ @ Royal Park Rajapruek 2012) ในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ตั้งแต่เวลา 08.00 - 21.00 น. จำนวน 90 วัน ภายใต้ธีมงาน "อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ใต้ร่มฟ้าพระบารมี" ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดงานเพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชกรณีย กิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร


การจัดงานครั้งนี้จะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและการให้ความรู้ ประกอบด้วย นิทรรศการแสดงพระราชประวัติพระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจในทั้ง 3 พระองค์, การจัดฉายภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ, การจัดกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ, การจัดแสดงทิวลิปภูมิพล ซึ่งสั่งหัวพันธุ์โดยตรงจากเนเธอร์แลนด์ และนิทรรศการ 80 พรรณไม้งามโครงการหลวง และนิทรรศการสายใยรัก


และได้มีการกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ประกอบด้วย การแสดงดนตรีในสวน (Music in the Garden) จากศิลปินที่มีชื่อเสียง ที่พร้อมขับกล่อมบทเพลงอันไพเราะท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงาม อาทิ แอม-เสาวลักษณ์ /สุเมธ-ปั๋ง /ลุลา /โก้ Sax man/ ต้น-คชา AF8 /ไม้เมือง เป็นต้น มีการแสดงวัฒนธรรมชนเผ่า การแสดงดนตรีพื้นเมือง การแสดงนานาชาติ การแสดงของสถาบันการศึกษาและชุมชนต่าง ๆ

         
นอกจากนี้ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ยังได้เตรียมกิจกรรมพิเศษในวันสำคัญต่าง ๆ มากมาย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 053-114110-5 หรือทางเว็บไซต์ www.royalparkrajapruek.org